วันอังคารที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2556

เกาะฮาชิมะ

เกาะฮาชิมะ




เกาะฮาชิมะ อดีตเหมืองถ่านหินขนาดใหญ่ ก่อนจะถูกทิ้งร้างกลายเป็นเกาะสุดเฮี้ยนติดอันดับโลกของญี่ปุ่น
เกาะฮาชิมะ อยู่ห่างจากเมืองนางาซากิ ประมาณ 15 กิโลเมตร สมัยที่เกาะฮาชิมะรุ่งเรืองมันถูกตั้งชื่อว่า Battleship Island หรือ เกาะเรือรบ ในอดีตเกาะแห่งนี้เต็มไปด้วยถ่านหิน จนเมื่อมีการค้นพบจึงได้เริ่มต้นทำเหมืองถ่านหินกันอย่างจริงจังในปี 2430 ก่อนที่บริษัทยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่นอย่างมิตซูบิชิจะซื้อเกาะดังกล่าวเพื่อพัฒนาเป็นเหมืองถ่านหินขนาดใหญ่ รองรับกับความต้องการถ่านหินในการพัฒนาอุตสาหกรรมในญี่ปุ่นยุคนั้น จนทำให้มีการอพยพแรงงานและครอบครัวมาตั้งถิ่นฐานอยู่บนเกาะแห่งนี้จนเต็มพื้นที่
          จนกระทั่งปี 2517 มิตซูบิชิได้ประกาศปิดเหมืองบนเกาะฮาชิมะ เนื่องจากพลังงานจากถ่านหินไม่ได้เป็นที่ต้องการของญี่ปุ่นอีกต่อไป โดยทุกคนหันไปให้ความสำคัญกับพลังงานจากน้ำมันแทน ซึ่งหลังจากการปิดตัวลง แรงงานทั้งหมดจึงอพยพออกจากพื้นที่ และปล่อยให้เกาะแห่งนี้เป็นเกาะร้าง ที่ไม่มีแม้กระทั่งต้นไม้หรือดอกไม้ขึ้นอยู่ มีก็แต่เพียงไม้ล้มลุกขนาดเล็กเท่านั้น
 ปัจจุบัน ทางการญี่ปุ่นพยายามที่จะผลักดันให้เกาะฮาชิมะเป็นมรดกโลก โดยยื่นเรื่องไปยังองค์การยูเนสโก แต่กลับถูกทางการเกาหลีใต้คัดค้าน เพราะมองว่าเกาะฮาชิมะ คือบาดแผลสงครามที่ยังหลงเหลืออยู่ และทำให้ชาวเกาหลีใต้และชาวจีน รู้สึกเจ็บปวดทุกครั้ง ที่มีการกล่าวถึงเกาะนี้

นอกจากนี้ เกาะฮาชิมะเริ่มเปิดให้นักท่องเที่ยวได้เข้าชมเมื่อ 4 ปีก่อน แต่จนถึงตอนนี้ มีนักท่องเที่ยวเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ได้มีโอกาสสัมผัสกับแหล่งท่องเที่ยวแห่งนี้ เพราะทางการญี่ปุ่นจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยว ทำให้แต่ละปีมีผู้ที่ได้รับอนุญาตให้มาเที่ยวที่นี่เพียงไม่กี่คนเท่านั้น

คุกที่สบายที่สุดในโลก

คุกที่สบายที่สุดในโลก




คุกเป็นสถานที่ที่ไม่คงไม่มีใครอยากจะเฉียดกายเข้าใกล้ แต่สำหรับคุกบนเกาะ บาสตอยที่นอร์เวย์แห่งนี้ คงเป็นคุกที่ทำให้นักโทษรู้สึกสบายที่สุดในโลก  เพราะนักโทษที่นี่ไม่ต้องผูกโซ่ตรวน  และสามารถทำกิจกรรมต่างๆ ได้ในคุก ทั้งนอนอาบแดด เดินชมชายหาด เล่นกีฬาต่าง ๆ หรือแม้แต่อ่านหนังสือในห้องสมุดครับ แถมยังมีค่าอาหารให้ซื้อกินเองสัปดาห์ละ 3,000 บาท อีกด้วยนะ  ที่อยู่อาศัยนักโทษที่นี่ดีมากๆ เพราะพวกเขาจะอาศัยอยู่ในกระท่อมหลังเล็กๆ ไม่เกิน 6 คน ภายในมีสิ่งอำนวนความสะดวกครบอย่างครบครัน นอกจากนี้ยังสามารถออกไปรับจ้างทำงานในฟาร์มของชาวบ้าน หรือว่าจะเป็นงานซ่อมจักรยาน งานในโรงไม้ ซึ่งมีค่าจ้างให้ เฉลี่ยแล้วตกวันละ  270 บาท แล้วสามารถนำเงินที่ได้นำไปซื้อของในซูเปอร์มาร็เก็ตได้อีกครับ
ทางผู้คุมเรือนจำ เผยว่าการปฏิบัติต่อนักโทษดังกล่าวจะสามารถปรับปรุงพฤติกรรมของนักโทษ ไม่ให้ทำผิด และกลับมาเข้าคุกได้อีก แต่ทั้งนี้การกระทำดังกล่าวอยู่ในขั้นการทดลองเท่านั้นเอง

แต่หลังจากที่มีการเผยแพร่ข่าวนี้ออกไป ทำให้หลายคนตั้งคำถามว่า บทลงโทษนี้สมควรแล้วหรือกับนักโทษที่ก่อคดี แต่ถ้าวิธีนี้ได้ผลก็คงจะมีคนกระทำผิดลดน้อยลง ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อสังคมเป็นอย่างมากครับ


iPhone กินไฟ มากกว่าตู้เย็น จริงหรือ ?

iPhone กินไฟ มากกว่าตู้เย็น จริงหรือ ?




บริษัทที่ปรึกษาการลงทุนเทคโนโลยีคิดใหม่ทำใหม่ นำสมาร์ทโฟนฮิตอย่างไอโฟน (iPhone) มาวิเคราะห์เพื่อวัดปริมาณการใช้พลังงานในการชาร์จไฟแต่ละครั้ง ปรากฏว่าความจริงน่าทึ่งจากการสำรวจนี้ คือไอโฟนมีค่าการใช้พลังงานไฟฟ้าเฉลี่ยสูงกว่าตู้เย็นขนาดกลาง 1 เครื่อง ถือเป็นแนวโน้มน่าเป็นห่วงเพราะภาพรวมการใช้พลังงานของสมาร์ทโฟนยังไม่มีวี่แววลดลงแม้แต่น้อย มีแต่ขาขึ้นซึ่งเป็นผลจากการเพิ่มความจุแบตเตอรี่ให้สมาร์ทโฟนทำงานได้ยาวนานขึ้น และการใช้งานสมาร์ทโฟนแบบ ตลอดเวลาชนิดไม่มีการปิดเครื่อง
บริษัทผู้ดำเนินการศึกษาจนพบว่าไอโฟนเผาผลาญพลังงานไฟฟ้าเฉลี่ยมากกว่าตู้เย็นขนาดกลางหรือ midsize refrigerator คือบริษัทดิจิตอลเพาเวอร์กรุ๊ป (Digital Power Group) ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษาการลงทุนด้านเทคโนโลยีที่มีชื่อเสียง โดยซีอีโอ มาร์ก มิลส์ (Mark Mills)” ระบุว่าตู้เย็นขนาดกลางที่ได้มาตรฐานประหยัดไฟ Energy Star จากสำนัก Environmental Protection Agency จะใช้พลังงานราว 322 กิโลวัตต์-ชั่วโมง (kW-h) ต่อปี ขณะที่ไอโฟนใช้พลังงานประมาณ 361 กิโลวัตต์-ชั่วโมงต่อปี เมื่อใช้งานอินเทอร์เน็ตไร้สายจนต้องชาร์จไฟต่อเนื่อง      
kW-h หรือกิโลวัตต์-ชั่วโมงนั้นเป็นหน่วยวัดความสิ้นเปลืองพลังงานไฟฟ้า โดยสัญลักษณ์ 1 kW-hr จะหมายถึงกำลังไฟฟ้า 1 กิโลวัตต์ที่ใช้ในเวลา 1 ชั่วโมง และหากต้องการกล่าวถึงเตารีดไฟฟ้าขนาด 2 กิโลวัตต์ที่ใช้ในเวลา 3 ชั่วโมง จะสามารถเขียนได้ว่าเตารีดนี้สิ้นเปลืองพลังงานไฟฟ้า 6 กิโลวัตต์-ชั่วโมง (ข้อมูลจากพจนานุกรมศัพท์ สสวท.)
ไอโฟนเป็นเพียงส่วนหนึ่งของความกังวลที่ดิจิตอลเพาเวอร์กรุ๊ประบุในรายงานชื่อเต็มว่า “The Cloud Begins With Coal : Big Data, Big Networks, Big Infrastructure, and Big Power” รายงานฉบับนี้ต้องการสะท้อนให้โลกรู้ว่าระบบนิเวศทางเศรษฐกิจของอุตสาหกรรมไอซีทีหรือเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารนั้นกำลังเป็นต้นตอที่ทำให้การใช้พลังงานไฟฟ้าของโลกสูงขึ้น โดยไม่เพียงสมาร์ทโฟนและอุปกรณ์ไอที แต่ครอบคลุมทั้งระบบอีโคซิสเต็ม ซึ่งประกอบด้วยฟาร์มเซิร์ฟเวอร์ซึ่งมีขนาดเทียบเท่ากับสนามฟุตบอล 7 สนามรวมกัน
หากนำข้อมูลปริมาณการใช้พลังงานของอุตสาหกรรมต่างๆ บนโลกนี้มาเขียนเป็นแผนภูมิวงกลม จะพบว่าอุตสาหกรรมไอซีทีกำลังมีชิ้นพายที่ใหญ่ขึ้นต่อเนื่อง จุดนี้ซีอีโอมิลส์ระบุว่าปัจจุบันอุตสาหกรรมไอซีทีใช้พลังงานราว 10% ด้วยสถิติ 1,500 เทราวัตต์ชั่วโมง (1 เทราวัตต์ชั่วโมงหมายถึง 1 ล้านล้านวัตต์ชั่วโมง หรือ 10 ยกกำลัง 12 ถือเป็นหน่วยวัดปริมาณไฟฟ้าที่ใช้กันในระดับโลก)
ตัวเลขการใช้พลังงานระดับเทราวัตต์ชั่วโมงนี้ถือว่ามหาศาล เนื่องจากเพียง 1,000 วัตต์ชั่วโมงก็ถือเป็นพลังงานที่ทำให้เราสามารถชมภาพยนตร์ดีวีดี (DVD) ได้มากถึง 29 เรื่อง หรือการทำขนมปังปิ้งมากกว่า 100 แผ่น อย่างไรก็ตาม 1,000 วัตต์ชั่วโมงหรือ 1 กิโลวัตต์ชั่วโมงนี้เพียงพอต่อการใช้งานโทรศัพท์ไร้สายเพียง 15 วันเท่านั้น หรือการเล่นวิดีโอเกมต่อเนื่องเพียง 5 ชั่วโมง
รายงานเชื่อว่า ระบบอีโคซิสเต็มในอุตสาหกรรมไอซีทีจะใช้พลังงานเพิ่มขึ้นอีกในอนาคต ส่วนหนึ่งไม่ใช่เพียงเพราะการใช้หลอดไฟส่องสว่างหรือเครื่องปรับอากาศในศูนย์ข้อมูลไอทีเท่านั้น แต่เป็นเพราะระบบต่างๆ ในอุตสาหกรรมไอซีทีนั้นไม่สามารถหยุดพักการทำงานได้ เช่นเดียวกับที่ชาวไอทีเริ่มไม่ปิดเครื่องสมาร์ทโฟนแม้ในเวลากลางคืน
แถมเมื่อเทคโนโลยีเครือข่ายอินเทอร์เน็ตไร้สายอย่าง 3G และ Wi-Fi มีอิทธิพลมากขึ้น ปริมาณการใช้พลังงานก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย เช่นเดียวกับระบบคลาวด์คอมพิวติ้งที่จำเป็นต้องขยายใหญ่ขึ้น โลกก็จะสูญเสียพลังงานไปมากขึ้นเป็นทวีคูณ
จุดนี้ซีอีโอมิลส์ตั้งข้อสังเกตว่า ระบบสตรีมมิ่งภาพยนตร์ออนไลน์ที่กำลังมีอิทธิพลเหนือสื่อความบันเทิงใดๆ ในขณะนี้ เป็นระบบที่เผาผลาญพลังงานมากกว่าการจัดจำหน่ายภาพยนตร์เรื่องเดียวกันในรูปแบบแผ่นดีวีดีอย่างก้าวกระโดด
บทสรุปที่นักวิเคราะห์เชื่อว่าจะเป็นทางออกของปัญหาการใช้พลังงานที่เพิ่มขึ้นของวงการไอซีทีคือการหาแหล่งพลังงานทางเลือกทดแทนถ่านหินซึ่งยังเป็นแหล่งพลังงานหลักของโลก โดยเชื่อว่าอุตสาหกรรมไอซีทีจะเป็นรากฐานสำคัญที่ทำให้โลกหันมาใช้พลังงานทางเลือกที่มีราคาถูกกว่า เสถียรกว่า และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่าได้ในระยะยาว 
ได้ยินแบบนี้แล้ว ต่อไปเราชาวสมาร์ทโฟนควรจะคิดถึงปริมาณไฟฟ้าที่ใช้กับอุปกรณ์ไอทีของตัวเองให้มากขึ้น เพราะเชื่อว่าไม่เพียงไอโฟน แต่สมาร์ทโฟนแบรนด์อื่นก็มีโอกาสกินไฟมากกว่าตู้เย็นไม่แพ้กัน